“รัฐ-เอกชน” ประเมินโจทย์ใหญ่ประเทศไทย “เหลื่อมล้ํา-เทคโนโลยีเปลี่ยน”

หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560

          “แบงก์ชาติ-สภาพัฒน์” มองความท้าทายเศรษฐกิจในอนาคต โจทย์ใหญ่อยู่ที่ปัญหาความเหลื่อมล้ํา-เทคโนโลยี
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการดําเนินธุรกิจ แนะเอกชนเร่งปรับตัวรับมือ 

          “ปรเมธี วิมลศิริ” เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) บอกว่า วิวัฒนาการเศรษฐกิจไทยในรอบ 30 ปี หรือ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา (ปี 2530-2560) ผ่าน แผนพัฒนาเศรษฐกิจมาแล้วถึง 6 ฉบับ ตั้งแต่แผนพัฒนา
ฉบับที่ 6 ถึงแผนพัฒนาฉบับที่ 11 ว่าแต่ ละช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ พบว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยค่อนข้างพลิกผัน มีทั้งจังหวะ
ที่เศรษฐกิจ “รุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีด” ไปจนถึง “ทรุดหนัก” ในช่วงวิกฤติต้มยํากุ้ง ซึ่งอยู่ในช่วง แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 8
(ปี 2540-2544) 

          เลขาธิการสภาพัฒน์ ยังเห็นว่า  ในช่วงของ30 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ “จุดอ่อน” คือ เรื่องของ “ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจไทย” เนื่องจากความรุ่งเรือง ความสามารถในการแข่งขัน และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเกิดขึ้น แผนพัฒนา
ฉบับที่ 6 เศรษฐกิจเคยโตในระดับ 10% แต่กลไกจากในการสร้างการเจริญเติบโตเริ่มมีข้อจํากัด เช่น ในเรื่องของค่าจ้างแรงงาน
ที่มีราคาสูงขึ้น ในเรื่องของปัจจัยการผลิตต่างๆ ที่ลดลง เรื่องของการลงทุนเริ่มมีข้อจํากัด เช่น เรื่องของที่ดินราคาสูงขึ้น
ไม่ใช่ปัจจัยบวกในการสร้างความสามารถในการแข่งขันเหมือนในอดีต 

          ดังนั้น ในช่วงหลังปี 2540 เป็นต้นมา เริ่มที่จะปรับในส่วนของรูปแบบของการเจริญเติบโต และการพัฒนา
ทางเศรษฐกิจ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันใหม่ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิด การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้ง
เริ่มมีการพูดถึง “การกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ” และ “การปฏิรูปเศรษฐกิจ” ให้ยั่งยืนมากขึ้น 

          ขณะที่ความท้าทายของเศรษฐกิจในระยะ 5 ปีจากนี้ ไม่เพียงแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เท่านั้น อีกความท้าทายสําคัญที่ต้องบรรลุเป้าหมายคือ “การลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจ และทางสังคม” เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นกับประเทศมาโดยตลอด 
          ส่วนแผนระยะยาวในการพัฒนาประเทศ โจทย์ใหญ่คือ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ที่มีเรื่อง ของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรุนแรง (Disruptive Technology) เข้ามาถาโถมภาคธุรกิจ- ถือเป็น “ความท้าทาย” ทางเศรษฐกิจที่ต้องเตรียม
แผนรับมือการเปลี่ยนแปลงภายใต้การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย ซึ่งต้องวางยุทธศาสตร์ ประเทศให้สอดคล้องในทุกมิติเทคโนโลยียกระดับผลิตภาพ 

          “วีระไท สันติประภพ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า การป้องกันความ เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที “3 คํา” ที่ควรให้ความสําคัญ คือ 1. ผลิตภาพ 2. ภูมิคุ้มกัน และ 3. การกระจายตัวของผลประโยชน์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ํา

          เรื่อง “ผลิตภาพ” เป็นหัวใจสําคัญโดยเฉพาะโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรา จําเป็นต้องยกศักยภาพการแข่งขัน ศักยภาพการผลิต แม้แต่ศักยภาพของแรงงานหรือคน เพราะใน โลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้น มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้รามาคําว่า “ผลิตภาพ” จึงเป็นเรื่องสําคัญ โดยเฉพาะผลิตภาพที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี 

          เวลานี้การทําเกษตรแบบเดิมๆ ทําไม่ได้แน่นอน เพราะแรงงานภาคเกษตรเราสูงอายุมาก ขึ้น เหลือน้อยลง จึงต้องใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มผลิตภาพการผลิต เราเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย ขณะนี้เราอาจให้ความสําคัญเพียงแค่คําว่า “ฟินเทค” แต่จริงๆ แล้วมีพวก “อกริเทค เอ็ดดูเทค” หรือแม้แต่ “ไบโอเทค” ที่มีความสําคัญไม่น้อยไปกว่ากัน”

 เร่งสร้างภูมิคุ้มกันประเทศ

          ส่วนเรื่อง “ภูมิคุ้มกัน” หนีไม่พ้นการที่โลกเรามีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทําให้เกิดความ ผันผวนสูงขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบายของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ รวมไปถึงปัญหาการเมืองเชิงภูมิ รัฐศาสตร์ การสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นเรื่องสําคัญ ภาคการเงินเวลานี้เราให้ความสําคัญกับเรื่อง เสถียรภาพ ประเทศจําเป็นต้องมีทุนสํารองระหว่างประเทศที่มากพอ ต้องดูแลไม่ให้เกิดจุด
เปราะบางที่ทําให้ปัญหาลามเป็นลูกโซ่ได้ เรามีคําที่ใช้กันภายใน คือ ต้อง “จับควันให้ไว ดับไฟ ให้ทัน ป้องกันไม่ให้ลาม”

           “ตอนนี้ อาจมีจุดเปราะบางในระบบการเงินบ้าง จากการที่เราดําเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ํา เป็นเวลานาน จึงเกิด
ความเสี่ยงเป็นจุดๆ ทําให้ต้องจับตามอง เพราะเริ่มมีความที่แสวงหาความ เสี่ยงมากขึ้น ประเมินความเสี่ยงต่ํากว่าที่ควรจะเป็น”

           สุดท้ายคือเรื่องความเหลื่อมล้ํา ตรงนี้เป็นปัญหาสําคัญของระบบการเงิน เพราะความ เหลื่อมล้ําจะมากขึ้น ถ้าการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจกระจายตัวไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะเวลานี้ที่มีเรื่อง เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คนที่มีทุนมากกว่า มีความสามารถทางเทคโนโลยี สูงกว่า จะปรับตัวได้เร็วแบบก้าวกระโดด ส่วนคนที่มีทุนน้อยกว่า เข้าถึงเทคโนโลยีได้
ยากกว่า อาจตามไม่ทัน ทําให้ความเหลื่อมล้ํายิ่งถ่างขึ้น สิ่งสําคัญ คือ ทํายังไงให้คนตัวเล็กได้ประโยชน์เพื่อไม่ให้ ช่องว่างตรงนี้
ถ่างมากขึ้น

ธุรกิจต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี

           “ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จํากัด มองว่า โลกมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราต้องตามกระแสต่างๆ ของโลกให้ทัน และเตรียมพร้อมรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทําให้ อุตสาหกรรมค้าปลีกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จนทําให้ห้างค้าปลีกบางแห่งปิดตัวลงไป อย่างที่ เราพอทราบกัน 

           "แต่หากธุรกิจรู้เท่าทันและเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวตาม ก็จะยังสามารถอยู่รอดในสมรภูมิ นี้ได้ ดังเช่นขณะนี้ที่โลกของเราเข้าสู่ยุค Digital Revolution ลูกค้าส่วนใหญ่ไปอยู่บนโลกออนไลน์ หากยังคงดําเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ด้วยการขยายสาขาศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ ไป เรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว ก็คงอยู่ไม่ได้แน่”

           ธุรกิจต้องโฟกัสในส่วนของออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จึงเป็นที่มาที่ทําให้กลุ่มเซ็นทรัลสร้างกล ยุทธ์ใหม่ “Digital Centrality” เพื่อพาตัวเองเข้าไปในโลกออนไลน์ที่ลูกค้าอยู่ พร้อมทั้งมอบ ประสบการณ์การชอบปิ้งที่แตกต่างให้ลูกค้า เป็นการ
เชื่อมต่อระหว่างโลกออฟไลน์และออนไลน์ อย่างไร้รอยต่อ หรือที่เรียกว่า ออมนิแชนแนล (Omnichannel)

           ปัจจุบันได้เริ่มสร้าง “ออนไลน์แพลตฟอร์ม” ให้ธุรกิจต่างๆ ในเครือแล้ว เช่น เพาเวอร์ บาย, บีทูเอส, เซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ รวมไปถึงเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซอย่าง ลุคสิ (Looksi) และ การร่วมลงทุนกับ JD.com สร้างออนไลน์มาร์เก็ตเพลสแห่งใหม่ที่แตกต่างและเหนือกว่า เพื่อจะ ก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของไทย และตอกย้ําความเป็นผู้นําทั้ง
ด้านออฟไลน์ สโตร์และไซเบอร์สโตร์

ยานยนต์มุ่งสู่ “เอสเคิร์ฟ”

           “เพียงใจ แก้วสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทนิสสันมอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เกิดขึ้นมาแล้วเกือบ 60 ปี และเป็นอุตสาหกรรมที่มี
ความแข็งแกร่งที่สามารถเติบโตมาโดยตลอด อย่างมั่นคง แม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในบางช่วงเวลา แต่ก็ฟื้นกลับมาได้
ทุกครั้ง

           การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากรัฐบาลไทยทุกยุคสมัยที่มี นโยบายส่งเสริมที่แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่ดี เช่น การผลักดันให้มีการผลิตชิ้นส่วน ในประเทศ (Local content) การกําหนดมาตรการส่งเสริมให้เกิด “โปรดักท์แชมเปี้ยน” เริ่มจาก “รถปิกอัพ 1 ตัน” ตามด้วย “อีโค คาร์” ที่ประสบความสําเร็จอย่างสูงทั้งตลาดในประเทศ และ การส่งออกที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยํากุ้งเป็นต้นมาที่ตลาดต่างประเทศขยายตัวอย่างชัดเจน

           “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หากไม่นับสิ่งที่ผิดปกติ มีอัตราการเติบโนเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ถือว่าเป็นการเติบโตที่ดี ทําให้ไทยเป็นเป้าหมายสําคัญของการลงทุนต่างชาติ โดยปัจจุบันผู้ผลิต รถยนต์ชั้นนํา มีฐานการผลิตในไทย ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่อันดับ 1-100 ของโลก มี 50-60 % ที่เข้ามาลงทุนในไทย” 

           อุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นตัวแปรสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด ก้าวเข้ามาสู่ ช่วงปลายของเอส เคิร์ฟ
(S Curve) ดังนั้นจึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่ “เอส เคิร์ฟ” ใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐมีวิสัยทัศน์ที่ดีทั้งการกําหนดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการส่งเสริมให้ เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทย ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางในตลาดโลกที่ต่างก็
มุ่งส่งเสริมให้มีรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นยิ่งขึ้น

           อย่างไรก็ตาม แนวทางการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้เป็นสิ่งใหม่ ทําให้มีการต่อต้านจากบางส่วน เช่นกัน โดยเฉพาะจาก
ผู้ที่เคยได้ประโยชน์จากการดําเนินการแบบเดิมๆ และกลุ่มที่ไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ และหันมาร่วมกันพัฒนาเพื่อให้ อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความแข็งแกร่งต่อไป

 

--------------------------

Visitors: 205,932